ความต่างของ
should
have + V3 กับ
should
should have + V3 กับ should
/ might have + V3 กับ
might
/ would have + V3 กับ
would
เป็นคำที่พบบ่อย
ใช้บ่อยทั้งในการ
ติวโทอิค
สอบTOEIC
ติวโทเฟล
สอบ
TOEFL
หรือในการสนทนาภาษาอังกฤษทั่วๆ
ไปหรือการสนทนาภาษาอังกฤษในที่ทำงาน/
การสนทนาภาษาอังกฤษธุรกิจ
จากประสบการณ์เกือบ
10 ปีในสหรัฐอเมริกา
ทั้งการเรียนปริญญาโทและการทำงานในองค์กรในสหรัฐอเมริกา
3
คำนี้เป็นคำที่พบบ่อย
และมีความสำคัญมากในการที่เราจะสื่อสารกับชาวอเมริกันได้อย่างเข้าใจถ่องแท้
ก่อนอื่นครูขอเกริ่นว่า
3 คำนี้
ไม่มีในไวยากรณ์ภาษาไทย
(จะมีก็มีแค่คำแปลทั่วๆ
ไป
ที่
should = ควรจะ,would
= น่าจะ, might = อาจจะ)
ซึ่งความเข้าใจในความหมายเบื้องต้นยังไม่เพียงพอต่อการใช้จริงค่ะ
should have + V3
might have + V3
would have + V3
เป็นเรื่องราวใน”อดีต”ทั้งหมดค่ะ
และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น
เป็นสิ่งที่”ตรงข้าม”กับประโยคที่ผู้พูดเอ่ยออกมา
เช่น
I
shouldn’t have arrived the airport so late = อย่างที่บอกค่ะว่าเป็นเรื่องราวใน”อดีต”
และความเป็นจริงที่เกิดขึ้น”ตรงข้าม”กับประโยคที่ผู้พูดเอ่ยออกมาค่ะ
(ถ้าผู้พูดพูดเป็นประโยคบอกเล่า
ในความเป็นจริงก็จะเป็นประโยคปฏิเสธ)
---
ขอย้ำอีกครั้งค่ะ
ว่าไวยากรณ์เช่นนี้ไม่มีในไวยากรณ์ไทย
ดังนั้นหากนักเรียนนำไปเทียบกับไวยากรณ์ไทย
ก็ยากค่ะ
ที่จะเข้าใจ
(หรืออาจจะไม่มีวันที่นักเรียนจะเข้าใจมันเลย)...ภาษาอังกฤษคือภาษาต่างชาติ
และนี่คือสิ่งที่ระบบภาษาเค้าคิดเช่นนี้ค่ะ
ครูขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ง่ายๆ
ของการใช้
should
have + V3 กับ
should นะคะ หากหัวหน้าของพนักงานคนหนึ่งพูดกับเขา/เธอว่า
You
should arrive early --- อันนี้คือธรรมเนียมปฏิบัติ
อาจจะเป็นกรณีปฐมนิเทศพนักงานใหม่
You should have arrived
early --- กรณีนี้เป้นกรณี
พนักงานคนนั้น
อาจจะไม่ผ่านการทดลองงาน
(probation)
ก็เป็นได้ค่ะ
และ
หัวหน้าของพนักงานคนนั้นมีท่าทีว่าจะโกรธ
เพราะshould
have + V3 ว่าเป็นเรื่องราวใน”อดีต”
และความเป็นจริงที่เกิดขึ้น”ตรงข้าม”กับประโยคที่ผู้พูดเอ่ยออกมาค่ะ
(ถ้าผู้พูดพูดเป็นประโยคบอกเล่า
ในความเป็นจริงก็จะเป็นประโยคปฏิเสธ)...แสดงว่าในความเป็นจริงคือ
พนักงานคนนั้นมาสายค่ะ
ครูค่อนข้างมีความแม่นยำกับไวยากรณ์เรื่องนี้ค่ะ
สืบเนื่องจากสมัยที่ครูอยู่สหรัฐอมริกา
ครูได้มีงานพิเศษเป็นงานสอนเลขนักเรียนเตรียมสอบเข้าเรียนปริญญาโทค่ะ (ข้อสอบจำพวก GMAT / GRE)
และทุกครั้งที่นักเรียนเลือกผิด
เช่น
คำตอบที่ถูกคือ
ข้อ
A
แต่นักเรียนฝรั่งครูดันไปเลือกข้อ
C
เขาจะพูดว่า
I
shouldn’t have chosen A. / I shouldn’t have picked A. หรือไม่นักเรียนฝรั่งครูก็จะพูดแบบเร็วๆ รัวๆ ว่า
I
should have chosen C. / I should have picked C. ค่ะ
(ย้ำอีกครั้งค่ะ ว่า
ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น”ตรงข้าม”กับประโยคที่ผู้พูดเอ่ยออกมาค่ะ)
แต่ถ้าถามว่าพูดแค่
should
อย่างเดียว
(ตามประสาคนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง)
ฝรั่งก็จะเข้าใจเรานะคะ
(เขาคงดูจากสถานการณ์ล้อมรอบ
หรือ
ดูจากสีหน้าผู้พูด)
แต่หากเป็นการสื่อสารทางโทรศัพท์
ไม่สามารถอ่านสีหน้าออกได้การพูด
You
should arrive early. / You should have arrived early. มีความแตกต่างกันค่อนข้างมากค่ะ
กล่าวคือ เราอาจจจะพูดว่า
You
should have arrived early. โดยที่เรามีสีหน้ายิ้มแย้ม (แต่ผู้ฟังฟังแล้วเจ็บกระดองใจเป็นอย่างมากเพราะเขาว่าเราค่ะ)
แต่ถ้าพูดแบบไสตล์ไทยๆ
You
should arrive early. ฝรั่งเขาก็ฟังเข้าใจค่ะ
(ถ้าเขามาสาย แล้วเราต้องการแสดงให้เขารู้ว่า
เราไม่พอใจ)
แต่เราจะต้องใส่อารมณ์ใส่สีหน้าสุดฤทธิ์ค่ะ
(เพื่อให้เขาทราบว่าเราไม่พอใจ)
...เมื่อเทียบกับ You
should have arrived early. แล้วนั้น ประโยคเดียว หน้ายิ้ม
ๆ
แต่ต่อว่าเราอย่างที่สุดค่ะ คือใช้ภาษาเชือดใจอย่างที่สุด (ประโยคเบาๆ หน้ายิ้มๆ) ค่ะ
เพียงเทคนิคความเข้าใจง่ายๆ
เพียงเท่านี้
การ
ติวโทอิค
สอบTOEIC
ติวโทเฟล
สอบ
TOEFL
หรือในการสนทนาภาษาอังกฤษทั่วๆ
ไปหรือการสนทนาภาษาอังกฤษในที่ทำงาน/
การสนทนาภาษาอังกฤษธุรกิจ
ก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ
เพื่อนๆ
สามารถติดต่อสอบถามโครงการ
1
year internship program (แบบไม่ผ่าน
Agentไทย)
/ ขั้นตอนการขอ U.S.วีซ่า
/
การเรียนต่อในสหรัฐอเมริกา
/สอบถามหลักสูตรติวโทอิค
สอบTOEIC
หลักสูตรติวโทเฟล
(ครบทุกทักษะ) สอบ
TOEFL คอร์สสนทนาภาษาอังกฤษในที่ทำงาน/
การสนทนาภาษาอังกฤษธุรกิจ
หรือ
คำถามด้านภาษาอื่นๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
ได้ที่
หรือ
เข้า
facebook เสริ์ชคำว่า
Is
English Solutions
ติดต่อ 083-242-9094,
099-286-1414
LINE ID : apaleekul
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น